แมนยูฯ ออกสตาร์ทแย่ที่สุดในรอบ 33 ปี ภายใต้ รูเบน อโมริม กับสถิติผลงานบู่สุดยุคหลังสงคราม
เริ่มต้นฤดูกาลที่ย่ำแย่ที่สุดในรอบกว่า 3 ทศวรรษของแมนยูฯ 
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรฟุตบอลชื่อดังแห่งพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ภายใต้การคุมทีมของกุนซือชาวโปรตุเกส รูเบน อโมริม เริ่มต้นฤดูกาล 2025-2026 ได้อย่างย่ำแย่ที่สุดในรอบ 33 ปี หลังจากผลงานใน 10 เกมแรกรวมชนะเพียง 4 นัด เสมอ 1 และแพ้ถึง 5 นัด นับเป็นการเปิดซีซั่นที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ช่วงยุคหลังสงครามที่แสดงให้เห็นถึงความท้าทายครั้งใหญ่สำหรับสโมสรแห่งนี้
ผลงานและสถิติที่น่าจับตามองของรูเบน อโมริม
แม้ว่าจะมีเสียงวิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับผลงานของทีม แต่มูลค่านักเตะของแมนฯยูฯ กลับลดลงประมาณ 15% ตั้งแต่อโมริมเข้ามาคุมทีมในเดือนพฤศจิกายน 2024 หมายความว่าสโมสรตกจากอันดับ 3 สู่อันดับ 6 ของตารางพรีเมียร์ลีก ขณะเดียวกัน อโมริมก็วางแผนเสริมทัพอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นไปที่การเสริมทัพแนวรุกด้วยงบประมาณกว่า 200 ล้านปอนด์ เพื่อหวังเรียกฟอร์มกลับมาในฤดูกาลนี้
ความท้าทายและแนวทางปรับปรุงผลงานในฤดูกาล 2025-2026
ในช่วงต้นปี 2025 แมนฯยูฯ ยังสามารถผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายของยูโรปา ลีกได้แม้ผลงานในลีกจะยังไม่เข้าที่เข้าทาง โดยเหลือเพียงไม่กี่เดือนที่อโมริม จะต้องพลิกฟื้นสถานการณ์ของทีมก่อนฤดูกาลใหม่ที่จะมาถึง มีการจัดโปรแกรมปรีซีซั่นที่เข้มข้นเพื่อให้นักเตะฟิตเต็มที่ตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม รวมถึงเพิ่มความเข้มข้นในการฝึกซ้อมเพื่อเตรียมพร้อมรับศึกหนักต่อไป
เส้นทางสู่การกลับมาของแมนยูฯ
ความหวังในการกลับมายืนหยัดในกลุ่มท็อป 6 ยังคงมีอยู่ จากการซื้อขายนักเตะใหม่ที่มีศักยภาพและแผนการเสริมทัพที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม การลดลงของมูลค่านักเตะและผลงานที่ไม่แน่นอนสร้างความกดดันให้กับอโมริมและทีมงานอย่างมาก การแข่งขันที่รุนแรงในพรีเมียร์ลีกยังเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทีมต้องฝ่าฟัน เพื่อให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกลับไปสู่จุดสูงสุดที่แฟนบอลรอคอย
บทสรุป: ผลงานที่ลุ่มๆ ดอนๆ และอนาคตของแมนยูฯ ภายใต้รูเบน อโมริม
แม้ว่าผลงานในพรีเมียร์ลีกของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดภายใต้รูเบน อโมริม จะถูกมองว่าเป็นการออกสตาร์ทที่แย่ที่สุดในรอบ 33 ปีและเป็นหนึ่งในสถิติกุนซือผลงานต่ำสุดยุคหลังสงคราม แต่ทีมยังคงมีโอกาสแก้ไขฟอร์มและพัฒนาเพื่อการแข่งขันที่ดีขึ้นในอนาคต ฟอร์มการเล่นในฟุตบอลถ้วยยุโรปและการเสริมทัพหนักหน่วงแสดงถึงความตั้งใจของสโมสรในการกลับมาสู่ความยิ่งใหญ่
สำหรับแฟนบอลไทยที่ติดตามพรีเมียร์ลีกอย่างใกล้ชิด การเปลี่ยนแปลงนี้นับเป็นบทเรียนสำคัญที่สะท้อนถึงความท้าทายในการบริหารจัดการทีมฟุตบอลระดับโลก และเพิ่มความตื่นเต้นในการติดตามผลงานทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในอนาคตได้อย่างแน่นอน
